ธงชาติสหรัฐอเมริกาและจีน
ข่าวรูปภาพประกอบ

ธงชาติสหรัฐอเมริกาและจีน

ธงชาติสหรัฐอเมริกาและจีน | ถ่ายโดย: Unsplash / Guillaume Périgois (Unsplash License)

ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีจีนอีก 100% รวมเป็น 130% จีนตอบโต้แข็งไม่ยอมถอย สงครามการค้ากลับมาอีกครั้ง

14 ตุลาคม 2568 เวลา 13:00
7 นาทีในการอ่าน
สรุปและเรียบเรียงโดย AI
ข่าวสำคัญ

เนื้อหาข่าว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2025 ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100% “เหนือจากภาษีที่จีนกำลังจ่อยู่ในปัจจุบัน” โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 หรือเร็วกว่านั้น

เนื่องจากภาษีปัจจุบันสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนอยู่ที่ 30% การเพิ่มภาษีอีก 100% จะทำให้ภาษีรวม อาจสูงถึง 130% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การค้าสมัยใหม่ระหว่างสองประเทศ

สาเหตุของการขึ้นภาษี

มาตรการควบคุมแร่หายากของจีน

ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อการที่จีนขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกครอบคลุม 12 จาก 17 ชนิด ของโลหะแร่หายาก (rare-earth metals) และอุปกรณ์การกลั่นบางประเภท โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม

แร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง รวมถึง:

  • สมาร์ทโฟน
  • ยานยนต์ไฟฟ้า
  • อาวุธทางทหาร
  • เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

จีนเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นกว่า 80% ของตลาดโลก

มาตรการควบคุมซอฟต์แวร์ของสหรัฐ

นอกจากการขึ้นภาษีแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ยังประกาศว่าสหรัฐจะใช้มาตรการควบคุมการส่งออก “ซอฟต์แวร์สำคัญทั้งหมด” (critical software) จากบริษัทอเมริกันไปยังจีน เพื่อเป็นการตอบโต้

การตอบโต้จากจีน

คำแถลงจากกระทรวงพาณิชย์จีน

จีนออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวว่า “ท่าทีของจีนสม่ำเสมอเสมอมา เราไม่ต้องการสงครามภาษี แต่เราไม่กลัวสงครามภาษี”

กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า จีนพร้อมที่จะตอบโต้หากประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินการตามคำขู่ขึ้นภาษี 100%

ประวัติการตอบโต้ของจีน

ในอดีต จีนเคยตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐด้วยการ:

  • ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ (ถั่วเหลือง ข้าวโพด เนื้อสัตว์)
  • จำกัดการส่งออกแร่หายากและวัตถุดิบสำคัญ
  • สร้างอุปสรรคทางการค้าแก่บริษัทอเมริกันในจีน
  • ลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ผลกระทบต่อตลาดการเงิน

ตลาดหุ้นร่วง

ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 2.7% หลังจากประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก

นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า หากสงครามการค้าลุกลามต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและทำให้เกิดภาวะถดถอย

ผลต่อราคาสินค้า

หากภาษี 130% มีผลบังคับใช้ ราคาสินค้าจีนที่นำเข้าสู่สหรัฐจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้:

  • ผู้บริโภคสหรัฐต้องจ่ายแพงขึ้น
  • บริษัทสหรัฐที่พึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนต้องหาแหล่งอื่น
  • เงินเฟ้อในสหรัฐอาจพุ่งสูงขึ้น

บริบทของสงครามการค้า

ประวัติความขัดแย้ง

สงครามการค้าสหรัฐ-จีนเริ่มต้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรัมป์วาระแรก (2017-2021) และมีการลุกลามต่อเนื่อง ในช่วงต้นปี 2025 ภาษีจากทั้งสองฝ่ายเคยสูงถึง มากกว่า 100% ในเดือนเมษายน

หลังจากนั้นมีการเจรจาและลดภาษีลงมาเหลือ 30% แต่ความตึงเครียดยังคงอยู่และกลับมาลุกลามอีกครั้งในเดือนตุลาคม

การพบปะระหว่างผู้นำ

การขึ้นภาษีครั้งนี้อาจทำให้การพบปะที่เป็นไปได้ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนถูกยกเลิก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาสันติภาพทางการค้าระหว่างสองประเทศ

ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

บริษัทอเมริกัน

บริษัทสหรัฐหลายพันแห่งพึ่งพาสินค้าและชิ้นส่วนจากจีน ภาษีที่สูงขึ้นจะบีบให้พวกเขาต้อง:

  • หาแหล่งผลิตใหม่ (เวียดนาม อินเดีย เม็กซิโก)
  • เพิ่มต้นทุนการผลิต
  • ลดกำไร หรือขึ้นราคาสินค้า

บริษัทจีน

บริษัทจีนที่ส่งออกไปสหรัฐจะสูญเสียตลาดสำคัญ และอาจต้อง:

  • หาตลาดใหม่ในเอเชีย ยุโรป หรือตะวันออกกลาง
  • ลดกำลังการผลิต
  • เลิกจ้างพนักงาน

ประเทศที่สาม

ประเทศอื่นๆ อาจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้า แต่ก็ต้องเผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

บทวิเคราะห์เพิ่มเติม

สงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่กลับมาลุกลามในครั้งนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งโครงสร้างที่ลึกซึ้งระหว่างสองประเทศ ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องการค้า แต่ยังรวมถึง:

  1. การแข่งขันทางเทคโนโลยี: การควบคุมเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น AI, ชิปเซมิคอนดักเตอร์, และเทคโนโลยี 5G
  2. อำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันเพื่ออิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
  3. ระบบเศรษฐกิจโลก: การต่อสู้เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าและการเงินโลก

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า สงครามการค้าไม่มีฝ่ายชนะ ทั้งสองประเทศและเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบเชิงลบ:

  • การชะลอตัวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • การว่างงานเพิ่มขึ้น
  • เงินเฟ้อสูงขึ้น
  • การลงทุนลดลง

ทางออกที่ดีที่สุดคือการเจรจาและหาจุดประนีประนอม แต่ความภาคภูมิใจของผู้นำทั้งสองฝ่ายและแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยาก

สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค สงครามการค้าสหรัฐ-จีนสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยง โอกาสคือการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่ความเสี่ยงคือผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการค้า


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทองคำแท่งและเหรียญทอง
เศรษฐกิจต่างประเทศการเงิน
ราคาทองคำทะลุ 4,000 เหรียญต่อออนซ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พุ่งขึ้น 50% ในปีนี้
ราคาทองคำฟิวเจอร์สปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,004.40 เหรียญต่อทรอยออนซ์ หลังพุ่งขึ้น 50% ในปี 2025 จากปัจจัยค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความตึงเครียดทางการค้า และธนาคารกลางทั่วโลกสะสมทองคำ
14 ตุลาคม 2568
6 นาที
อาคารสำนักงานใหญ่ของ IMF กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
เศรษฐกิจต่างประเทศการเงินโลก
การประชุม IMF-World Bank 2025 เน้นเศรษฐกิจโลกชะลอตัว–เตือนความเสี่ยงหนี้ประเทศกำลังพัฒนา
การประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลก ปี 2025 เตือนเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญการชะลอตัวรอบใหม่จากอัตราดอกเบี้ยสูง หนี้สาธารณะเพิ่ม และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
13 ตุลาคม 2568
6 นาที
ภาพจุลทรรศน์ของไวรัส
ต่างประเทศสาธารณสุขแอฟริกา
เซเนกัลเผชิญการระบาดไข้หุบเขาริฟต์ครั้งใหญ่ที่สุด ดับแล้ว 17 ศพ ติดเชื้อกว่า 119 ราย
เซเนกัลประกาศการระบาดไข้หุบเขาริฟต์เมื่อ 21 กันยายน 2025 มีผู้เสียชีวิตแล้ว 17 คน และติดเชื้อกว่า 119 ราย ส่วนใหญ่ในภาคเหนือที่เป็นแหล่งปศุสัตว์ โรคนี้แพร่จากยุงและสัตว์ที่ติดเชื้อ
14 ตุลาคม 2568
7 นาที