อาคารสำนักงานใหญ่ของ IMF กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
อาคารสำนักงานใหญ่ของ IMF กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. | ถ่ายโดย: IMF / World Bank Media (CC BY 2.0)
การประชุม IMF-World Bank 2025 เน้นเศรษฐกิจโลกชะลอตัว–เตือนความเสี่ยงหนี้ประเทศกำลังพัฒนา
เนื้อหาข่าว
การประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ปี 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างวันที่ 10–13 ตุลาคม ได้เน้นย้ำถึง “การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงยืดเยื้อ” และ “ความเสี่ยงจากระดับหนี้สาธารณะในประเทศกำลังพัฒนา” ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากช่วงฟื้นตัวจากโควิด-19 และผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสูงในสหรัฐและยุโรป
ผู้อำนวยการ IMF นางคริสตาลินา จอร์จีวา กล่าวในที่ประชุมว่า เศรษฐกิจโลกปี 2025 คาดว่าจะเติบโตเพียง 2.4% ลดลงจาก 2.8% ในปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของประเทศพัฒนาแล้วและความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า รวมถึงราคาพลังงานที่กลับมาผันผวนอีกครั้ง ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงระมัดระวังในการปรับลดดอกเบี้ยเนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ
ธนาคารโลกเตือนเพิ่มเติมว่า ประเทศรายได้ปานกลางและต่ำกว่า 40 แห่ง กำลังเข้าสู่ภาวะ “กับดักหนี้” โดยเฉลี่ยกว่า 60% ของประเทศเหล่านี้มีภาระหนี้สูงกว่า 70% ของ GDP ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการคลังและลดโอกาสในการลงทุนระยะยาว หากไม่มีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกันในระดับสากล
ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป ต่างเรียกร้องให้ IMF และธนาคารโลกปรับกลยุทธ์สนับสนุนทางการเงินให้ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด พลังงานหมุนเวียน และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อกระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในทศวรรษหน้า
ขณะเดียวกัน การประชุมยังได้หารือถึงผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น สงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นและกดดันตลาดเกิดใหม่ โดยมีการเสนอให้ IMF สร้าง “กลไกป้องกันเศรษฐกิจฉุกเฉิน” สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์
บทวิเคราะห์เพิ่มเติม
การประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก ปัญหาเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย ภาระหนี้สาธารณะที่สูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง ล้วนทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น การปรับนโยบายของ IMF และธนาคารโลกให้ตอบสนองต่อโลกยุคใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระบุว่า หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างหนี้อย่างเป็นระบบ โลกอาจเผชิญ “วิกฤติหนี้รอบใหม่” ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะกระทบทั้งตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจพึ่งพาเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดมากขึ้นแต่การลงทุนในภาคพื้นฐานยังล่าช้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง